Uploaded with ImageShack.us health-pondkub: อันตรายจากการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีในญี่ปุ่น

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

อันตรายจากการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีในญี่ปุ่น

                          


         จากกรณีที่เกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศญี่ปุ่น หลายคนคงสงสัยว่า กัมมันตรังสี กับ กัมมันตภาพรังสี ต่างกันอย่างไร เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้ประกาศข่าวหลายช่อง ใช้ทั้งคำว่า กัมมันตรังสี กับ กัมมันตภาพรังสี จนเกิดความสับสนกันว่าควรใช้คำว่าอะไร
         ทั้งนี้ ที่ถูกต้องใช้คำว่า สารกัมมันตรังสี  ซึ่งเป็น สสาร เป็นวัตถุจับต้องได้ที่สามารถปล่อยรังสีออกมาได้  แต่หากมีการแผ่รังสีออกมาจากสารนั้นอีกต่อจึงจะเรียกกว่า กัมมันตภาพรังสี
ส่วน สารกัมมันตภาพรังสี  คือ พลังงาน ที่จับต้องไม่ได้ เป็นปรากฏการณ์ที่สารกัมมันตรังสีปล่อยรังสีออกมา ดังนั้น หากเป็นเป็นสสาร จะไม่ต้องใช้คำว่า ภาพ


สำหรับธาตุกัมมันตรังสี คือธาตุพลังงานสูงกลุ่มหนึ่งที่สามารถแผ่รังสี แล้วกลายเป็นอะตอมของธาตุใหม่ได้
1. รังสีเอกซ์ ถูกค้นพบโดย Conrad Röntgen อย่างบังเอิญเมื่อปี ค.ศ. 1895
2. ยูเรเนียม ค้นพบโดย Becquerel เมื่อปี ค.ศ. 1896 โดยเมื่อเก็บยูเรเนียมไว้กับฟิล์มถ่ายรูป ในที่มิดชิด ฟิล์มจะมีลักษณะ เหมือนถูกแสง จึงสรุปได้ว่าน่าจะมีการแผ่รังสีออกมาจากธาตุยูเรเนียม เขาจึงตั้งชื่อว่า Becquerel Radiation
3. พอโลเนียม ถูกค้นพบและตั้งชื่อโดย มารี กูรี ตามชื่อบ้านเกิด (โปแลนด์) เมื่อปี ค.ศ. 1898 หลังจากการสกัดเอายูเรเนียมออกจาก Pitchblende หมดแล้ว แต่ยังมีการแผ่รังสีอยู่ สรุปได้ว่ามีธาตุอื่นที่แผ่รังสีได้อีกแฝงอยู่ใน Pitchblende นอกจากนี้ กูรียังได้ตั้งชื่อเรียกธาตุที่แผ่รังสีได้ว่า ธาตุกัมมันตรังสี และเรียกรังสีนี้ว่า กัมมันตภาพรังสี
4. เรเดียม ถูกตั้งชื่อไว้เมื่อปี ค.ศ. 1898 หลังจากสกัดเอาพอโลเนียมออกจากพิตช์เบลนด์หมดแล้ว พบว่ายังคงมีการแผ่รังสี จึงสรุปว่ามีธาตุอื่นที่แผ่รังสีได้อีกใน Pitchblende ในที่สุดกูรีก็สามารถสกัดเรเดียมออกมาได้จริง ๆ จำนวน 0.1 กรัม ในปี ค.ศ. 1902

ประโยชน์จากรังสี ปัจจุบัน ได้มีการนำรังสีและสารกัมมันตรังสีมาใช้งานต่างๆ กันเช่น ในทางการแพทย์มีการใช้ในการตรวจวินิจฉัย และบำบัดอาการโรคของผู้เจ็บป่วยจากโรคร้ายต่างๆ เช่น การฉายรังสีเอกซ์ การตรวจสมอง การตรวจกระดูก และการบำบัดโรคมะเร็ง เป็นต้น นอกจากนี้ ก็มีการใช้งานทางรังสีในกิจการอุตสาหกรรม การเกษตร และการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ อาทิเช่น การใช้รังสีตรวจสอบรอยเชื่อม รอยร้าวในชิ้นส่วนโลหะต่างๆ การใช้ป้ายเรืองแสงในที่มืด การตรวจอายุวัตถุโบราณ การถนอมอาหารด้วยรังสี และการฆ่าเชื้อโรคในเครื่องมือแพทย์
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีการนำมาเป็นพลังงานเชื้อเพลิงในรูปแบบโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่ที่ไม่เปิดเผยก็คือ มีบางประเทศกำลังวิจัยเพื่อใช้เป็นอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงพัฒนาเป็นอาวุธทางชีวภาพ


อันตรายจากรังสี
        แม้รังสีจะมีอยู่ล้อมรอบตัวเรา และมนุษย์ทุกคนก็สามารถใช้ประโยชน์จากรังสีได้ แต่รังสีก็นับได้ว่ามีความเป็นพิษภัยในตัวเองเช่นกัน รังสีมีความสามารถก่อให้เกิดความเสียหายของเซลล์สิ่งมีชีวิต และถ้าได้รับรังสีสูงมากอาจทำให้มีอาการป่วยทางรังสีได้ ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับรังสีจะต้องกระทำด้วยความรอบคอบ เพื่อป้องกันตัวเองและสาธารณชนไม่ให้ได้รับอันตรายจากรังสีเลย
กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity) คือ คุณสมบัติของธาตุและไอโซโทปบางส่วน ที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นธาตุหรือไอโซโทปอื่น โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีการปลดปล่อยหรือส่งรังสีออกมาด้วย ปรากฏการณ์นี้ได้พบครั้งแรกโดย เบคเคอเรล เมื่อปี พ.ศ. 2439 ต่อ มาได้มีการพิสูจน์ทราบว่า รังสีที่แผ่ออกมาในขบวนการสลายตัวของธาตุหรือไอโซโทปนั้นประกอบด้วย รังสีแอลฟา, รังสีเบต้า และรังสีแกมมา
ในปี ค.ศ. 1896 นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ อองตวน อองรี แบ็กเกอแรล (Antoine Henri Becquerel, 1852-1908) ได้ค้นพบการแผ่รังสีของนิวเคลียสขึ้น จากการศึกษาเกี่ยวกับการแผ่รังสีฟิสิกส์นิวเคลียร์ต่อมาทำให้ทราบถึง ธรรมชาติของธาตุ และสามารถนำเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้มาก อาทิ นำไปใช้เพื่อการบำบัดรักษามะเร็ง การทำ CT SCANNERS เป็น

                          


ชนิดและอันตรายจากกัมมันตภาพรังสี
1.  รังสีแกมมา มีอำนาจการทะลุทะลวงมากและสามารถทำลายเนื้อเยื่อของร่างกายได้
2.  รังสีแอลฟาและรังสีเบต้า เป็นรังสีที่มีอนุภาคสามารถทำลายเนื้อเยื่อได้ดี ถึงแม้จะมีอำนาจการทะลุทะลวงเท่ากับรังสีแกมมา แต่ถ้าหากรังสีชนิดนี้ไปฝังบริเวณเนื้อเยื่อของร่างกายแล้ว ก็มีอำนาจการทำลายไม่แพ้รังสีแกมมา
3.  รังสีเอ็กซ์ สามารถปล่อยประจุไฟฟ้าแรงสูงในที่สุญญากาศ อันตรายอาจจะเกิดขึ้น ถ้าหากรังสีเอ็กซ์รั่วไหลออกจากเครื่องมือและออกสู่บรรยากาศ สัมผัสกับรังสีเอ็กซ์มากเกินไป เช่น จากหลอดเอ็กซ์เรย์ก็จะเกิดโรคผิวหนังที่มือ มีลักษณะหยาบ ผิวหนังแห้งมีลักษณะคล้ายหูด แห้งและเล็บหักง่าย ถ้าสัมผัสไปนาน ๆ เข้า กระดูกก็จะถูกทำลาย
4.  รังสีที่สามารถมองเห็นและรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสีเหนือม่วง รังสีชนิดนี้จะไม่ทะลุ ทะลวงผ่านชั้นใต้ผิวหนัง รังสีอัลตราไวโอเลตจะมีอันตรายรุนแรงกว่ารังสีอินฟราเรด และจะทำให้ผิวหนังไหม้เกรียม และทำอันตรายต่อเลนซ์ตา คนทั่ว ๆ ไปจะได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ ฉะนั้นคนที่ทำงานกลางแสงอาทิตย์แผดกล้าติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน โอกาสที่จะเป็นเนื้องอกตามบริเวณผิวหนังที่ถูกแสงแดดในที่สุดก็จะกลายเป็น เนื้อร้ายหรือมะเร็งได้ รังสีอัลตราไวโอเลตจะมีอันตรายต่อผิวหนังมากขึ้น ถ้าหากผิวหนังของเราไปสัมผัสกับสารเคมีบางอย่าง เช่น ครีโซล ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีความไวต่อแสงอาทิตย์มาก


                   


อันตรายจากกัมตภาพรังสีเทียบปริมาณรังสี มอลลีซีเวิร์ต
1,000 มีอาการคลื่นเหียนและอ่อนเพลีย
3,000 อ่อนเพลีย อาเจียน ท้องเสีย เม็ดเลือดขาวลดลง ผมร่วง เบื่ออาหาร ตัวซีด คอแห้ง มีไข้ อายุสั้น อาจเสียชีวิตใน 3-6 สัปดาห์
6,000 อ่อนเพลีย อาเจียน ท้องร่วงภายใน 1-2 ชั่วโมง เม็ดเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ผมร่วง มีไข้ อักเสบบริเวณปาก และลำคออย่างรุนแรง มีเลือดออก มีโอกาสเสียชีวิต 50% 4kp.o 2-6 สัปดาห์
10,000 มีอาการเหมือนข้างต้น ผิวหนังพองบวม เสียชีวิต เสียชีวิตใน 2-3 สัปดาห์
อนึ่ง การป้องกันตัวจากสารกัมมันตภาพรังสี คือ การใส่ชุดป้องกันกัมมันตภาพรังสีหากต้องอยู่ในพื้นที่ที่มการแพร่สารดังกล่าว ผู้ใดไม่มีชุดใส่ไม่ควรเข้าไปในบริเวณมีกัมมันตภาพรังสี เพราะจะได้รับอันตรายถึงชีวิต
อย่างไรก็ตาม การกินไอโอดีนใน เวลามีเหตุรังสีรั่วไหลก็เพื่อป้องกันมะเร็งไทรอยด์เท่านั้น โดยการกินไอโอดีนเข้าไปจะไปทำให้ร่างกายจับไอโอดีนไว้เต็มที่ เมื่อไอโอดีนรังสีเข้าร่างกายมา ร่างกายก็จะบอกว่าพอแล้ว ก็จะขับออกไป
ทว่า ไอโอดีนไม่สามารถต้านสารกัมมันตรังสีซีเซียมที่รั่วไหลออกมาจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ โดยประชาชนก็สามารถป้องกันสารกัมมันตรังสีได้ด้วยตัวเอง ด้วยการปิดประตูหน้าต่างให้สนิททั่วบ้าน ไม่เปิดแอร์ บริโภคอาหารและดื่มน้ำจากภาชนะที่ปิดแน่น ห้ามอย่าออกนอกอาคารเด็ดขาด ถ้าจำเป็นต้องออกนอกอาคารก็ควรใช้ผ้าปิดจมูกหรือสวมหน้ากากป้องกันให้เรียบร้อย หลี่กเลี่ยงการถูกนํ้าฝนหากในพื้นที่นั้นมีการเผยแพร่ของสารกัมมันตรังสี





       ขอขอบคุณ
    แหล่งข้อมูลจาก    http://news.mthai.com/hot-news

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น